เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3

483
รักออกฤทธิ์

บทประพันธ์ : นิตินันท์, วรรณพร, นิพล
บทโทรทัศน์ : สมภพผูกพันน้อย
กำกับการแสดง : คิง-สมจริง ศรีสุภาพ
แนวละคร :
ผลิต : บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด

เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3

    ในอดีตตอนที่เขาเพิ่งเกิด ประดิษฐ์พ่อของเขาแอบขนไม่เถื่อนจนไม้ถูกจับไป แต่ประดิษฐ์ก็เคลียร์ปัญหาแล้วมาเยี่ยมเมียและลูกที่โรงพยาบาลได้  ประดิษฐ์นำสร้อยห้อยจี้คำว่า “JO” มาให้ลูกเป็นของขวัญ ตั้งชื่อให้ว่านำโชค ชื่อเล่นโจ แต่ไม่ทันไร ประดิษฐ์ก็ถูกตำรวจมาจับตัวไปในข้อหาขนไม่เถื่อน และข้อหาอีกมากมายหลาย 10 คดี

พออายุได้ 3-4 ปี เขาก็ถูกนำมาฝากกับพี่ชายของพ่อ เพราะคดีของประดิษฐ์สิ้นสุดแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน แม่โจก็ต้องพาโจมาหาน้องสาว ด้วยสภาพเนื้อตัวเต็มไปด้วยเขม่าควัน เพราะบ้านของลุงโจไฟไหม้ หมดตัวในคืนเดียว จึงต้องบากหน้ามาขอให้น้องสาวรับไว้เลี้ยงดู

10 ขวบ แม่โจก็พาโจมาหาญาติอีกคน บอกว่าอีกไม่กี่วันเธอจะหนีคดีไปอยู่เมืองนอก ให้ช่วยรับเลี้ยงดูโจให้หน่อย ญาติแม่โจกลับปฏิเสธ เพราะเริ่มรู้แล้วว่าโจเป็นตัวซวยของครอบครัว จึงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ สองแม่ลูกเดินสิ้นหวังมาตามทางจนมาเจอหลวงพ่อสีสุกที่เดินสวนทางมา

“ร้องไห้ทำไมหรอโยม” หลวงพ่อเอ่ยทัก

หลังจากหลวงพ่อได้ล่วงรู้ปัญหาของแม่และโจ หลวงพ่อก็รับโจไว้เลี้ยงดู หลังจากวันนั้นมาโจก็กลายเป็นลูกศิษย์วัดของหลวงพ่อ  ออกบิณฑบาตกับท่านทุกวัน

“หลวงพ่อครับ หลวงพ่อรับเลี้ยงผมไม่กลัวหรอครับ ผมเป็นตัวซวยนะครับ ใครที่เลี้ยงผมน่ะไม่เคยมีใครรอดซักคนเดียว เรือหายวายป่วงกันหมด” โจตัดสินใจถามวันหนึ่ง

“ตัวซวยหรอ  ฉันไม่รู้จักหรอกศาสนาพุทธไม่มีคำนี้”

“แล้วทำไมผมไปอยู่กับใครเขาก็ซวยกันทั้งนั้นหละครับ เขาเรียกผมว่าไอ้โจตัวซวย”

“ศาสนาพุทธสอนให้ใช้สติ พิจารณา เหตุเกิดแต่ปัจจัย สิ่งที่เธอเห็นว่าเรือหายวายป่วงน่ะ มันมีที่มาที่ไป”

“แล้วทำไงเราถึงจะพิจารณาจนรู้ที่มาที่ไปได้ล่ะครับ”

“คำว่าพิจารณานั้น หมายถึง ให้เป็นคนใช้เหตุใช้ผล มีสติรู้ตัว และต้องเป็นคนช่างสังเกต อย่างเช่น หลับตาสิ วันนี้เธอใส่เสื้อสีอะไร”หลวงพ่อถามโจ

“เอ่อ…สีขาวครับ”

“มีเลขบนเสื้อเป็นเลขอะไร”

“ไม่รู้ครับ”

“เอ้า ลืมตาดูซะ”

โจลืมตา ก้มมองตัวเอง สวมเสื้อบอลเก่าๆ สีเขียวมีหมายเลขอยู่ตัวเบ้อเริ่ม

“อย่างนี้น่ะใช้ไม่ได้ ไม่ช่างสังเกต ไม่มีสติ นี่แค่เรื่องง่ายๆนะ จะพิตารณาเหตุของความเรือหายวายป่วงที่เธอว่า มันต้องมีสติมากกว่า หัดพิจารณาให้ละเอียดมากกว่านี้” หลวงพ่อเดินต่อไป โจมองตัวเองอย่างพิจารณาอีกครั้ง

เมื่อโจโตเป็นผู้ใหญ่ โจจึงทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ คือมองทุกอย่างอย่างพิจารณา และมีสติ โจกับป๋องนั่งดูรูปของวนิษา พิจารณาดูรูปอย่างละเอียดเพื่อ หาข้อสงสัยว่ามีส่วนในการฆาตกรรมสามีหรือไม่

โจเป็นรูปประรินอยู่ในงาน ประกาศตัวเป็นศัตรูกับวนิษา เพราะเป็นแฟนเก่าของชายแจ้ โจมองระรินอีกครั้ง รู้สึกว่าเหมือนเคยรู้จักมาก่อน

ระริน เป็นผู้หญิงสวย คู่ปรับตัวเอ่ของวนิษา หลงรักชายแจ้มานาน แต่ถูกวนิษาปาดหน้าเค้กได้แต่งงานไปกับชายแจ้เสียก่อน แต่ถึงกระนั้น แม้ชายแจ้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ระรินก็แวะเวียนมาเยี่ยมหม่อมจันจิรา แม่ของชายแจ้เป็นประจำ กล่อมหม่อมจันให้เกลียดวนิษา หม่อมจันทำนิ่งเฉย เพราะหม่อมจันไม่เชื่อว่าวนิษาเป็นคนดวงกินผัว

เดินออกมาจากห้องก็เจอหญิงจุ๋มที่ยืนรออยู่ หญิงจุ๋มบอกว่าได้ยินเธอคุยกันกับหม่อมจันเรื่องวนิษา ระรินพยายามเป่าหูหญิงจุ๋มให้เป็นพวก

“หม่อมแม่ท่านหัวแข็งมากค่ะ ไม่เหมือนพี่หญิง เอ้อ ระรินไม่ได้หมายความว่าพี่หญิงจุ๋มหัวอ่อนนะคะ แต่พี่หญิงจุ๋มนะเป็นคนใจกว้าง เปิดใจยอดรับฟังความคิดคนอื่น”

“พูดถึงเรื่องนี้พี่ก็ต้องขอบใจ ระริน ถ้าไม่มีระรินเป็นคนเตือนสติพี่เรื่องยัยวนิษา ป่านนี้พี่อาจจะยังมองแม่นั้นในทางที่ดีก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่หญิงจุ๋มเป็นพี่สาวคุณชายแจ้ก็เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆของระรินด้วยค่ะ”

“เฮ้อทำไมนะ คุณชายแจ้ถึงได้ตาต่ำมองข้ามเธอไปชอบยัยวนิษาซะ”

“ไม่ใช่ความผิดของคุณชายหรอกค่ะ ยัยนั่นคงต้องใช้เล่ห์กลอะไรซักอย่าง”

“ไม่ต้องห่วงหรอกระริน สวรรค์มีตา คนเลวอย่างมันต้องถูกลงโทษแน่ๆ พี่มีอะไรจะบอก ตอนนี้พี่จ้างนักสืบคนหนึ่ง ให้เขาสืบหาหลักฐาน หรือวิธีการที่นางวนิษาฆ่าคุณชายแจ้”

“จ้างนักสืบเลยหรอค่ะ เขาเก่งไหม”

“ดูทำงานทุ่มเทจริงจังดี .. ชื่อโจ”

“ระรินทำตาโต “ชื่อโจหรอคะ”

“จ๊ะชื่อโจแอพพันหน้า ระรินรู้จักหรอ”

“โจแอพพันหน้า ถ้าอย่างนั้นไม่รู้จักหรอกคะ แล้วเป็นไงบ้างคะ”

ตอนแรกระรินตกใจ นึกว่าเป็นโจตัวซวย แฟนเก่าของเธอ ซึ่งโจแอพพันหน้าเป็นฉายาใหม่ เธอจึงนึกว่าเป็นคนละคนกัน

“เขาเพิ่งเริ่มสืบ คงต้องให้เวลาเขาอีกซักพัก อยากไปเจอไหมล่ะ”

“โจหรอค่ะ”

“เปล่า ยัยวนิษา วันนี้พี่เพิ่งบังเอิญรู้มาว่าเขาจะไปออกงาน”

ระรินเงียบไปชั่วครู แล้วยิ้มออกมา “งานอะไรหรอค่ะ” ถามเพราะอยากรู้

วนิษามางานครบรอบวันก่อตั้งของบริษัทออฟฟิศบิลติ้ง ทางบริษัทจึงให้มีการจัดกิจกรรมสร้างกุศลด้วยการบริจาคเลือด วนิษาเป็นเกียรติมาให้เลือดในครั้งนี้ด้วย .. พิธีกรสัมภาษณ์วนิษาอย่างเป็นกันเองในการบริจาคเลือดครั้งนี้พูดจบ ระรินก็พรวดเข้าไปถามพิธีกร

“เอ แต่ฉันมีข้อสงสัยค่ะ ถ้าคนบริจาคเลือดมีเชื้อโรคอยู่ คนที่รับเลือดไปจะติดเชื้อไหมค่ะ”

“ก็มีโอกาสค่ะ แต่ขั้นแรกเราจะมีแบบสอบถามผู้บริจาคเลือดก่อน ถ้ามีปัญหาเราจะไม่รับ ในขั้นที่สองเราจะนำตัวอย่างเลือดเข้าแล็บเพื่อตรวจหาเชื้อโรค ถ้ามีปัญหาเราก็จะไม่นำไปใช้ เรายังติดต่อบอกผู้บริจาคให้ทราบด้วยคะ”

“อืม แล้วถ้าเป็นความชั่วที่อยู่ในตัวล่ะคะ” ระรินถาม หมองงๆ

“หมอไม่เข้าใจคำถามค่ะ”

“อย่างเช่น ผู้บริจาคเป็น ฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าคนมาแล้วสองคน เลือดของคนแบบนี้ ถ้าเอาไปให้คนอื่น แล้วคนอื่นจะได้รับความเลวความชั่วไปด้วยรึป่าวค่ะ” ระรินถามหมดแต่มองไปที่วนิษา คนทั้งงานหยุดดู

“คุณระรินคะ ที่นี่เป็นที่สาธารณะ คุณไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวของคุณกับฉันมาพูดนะค่ะ”

“ทุกครั้งที่ฉันพูดเรื่องนี้คุณก็จะเดินหนีไม่กล้าเผชิญความจริง ตอนนี้คุณหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็เลยจะให้ฉันหยุดพูดหรอคะ ทำไมคะ กลัวหน้ากากแสนสวยของคุณจะถูกกระชากออกมาจนทุกคนได้เห็นถึงใบหน้าของนางมารร้ายจากนรกโลกันตร์หรือไงคะ”

“ฉันว่าคุณระริรกำลังฉีกหน้าตัวเองมากกว่า” วนิษามองไปรอบๆ หนุ่มสาวหยิบมือถือมาถ่ายคลิปกันเพียบ

“ไม่มั่งคะ ฉันเป็นใคร ฉันเป็นแค่เหยื่อคนหนึ่งของคุณ แต่ที่ออกมาพูดก็เพื่อส่วนรวมนะค่ะ ไม่อยากให้คนป่วยได้รับเลือดเลวๆ จากคุณไป ความเลวมันอาจอยู่ในเม็ดเลือดของคุณก็ได้”

“ฉันไม่เคยทำอย่างที่คุณว่าเลยระริน เลิกยุ่งกับฉันเสียทีเถอะค่ะ”

“ไม่ง่ายไปหน่อยหรอค่ะคุณวนิษา คุณแย่งคุณชายแจ้ไปจากฉันอย่างหน้าด้านไร้ยางอายที่สุด แล้วคุณก็ฆ่าเขาแล้วจะให้ฉันเลิกยุ่งกับคุณง่ายๆ หรอ .. ไม่ฉันจะยุ่งกับคุณ จะจองเวรจนกว่าคุณจะชดใช้สิ่งที่คุณทำ ฉันรู้นะว่าคุณมาบริจาคเลือดทำไม นึกว่าทำบุญแค่นี้มันจะไถ่บาปได้หรอ ไม่มีทาง คนอย่างคุณมันต้องตกนรกหมกไหม้มันถึงจะสาสม”

“เชิญคุณลงไปนรกคนเดียวเถอะค่ะคุณระริน”

“เสียใจ ฉันไม่เคยฆ่าคนคะ โดยเฉพาะสามีตัวเอง”

ระรินดีดนิ้ว ลูกน้องที่จ้างไว้ทิ้งป้ายผ้าที่ผูกกับระเบียงลงมา เป็นรูปข่าวจากหนังสือพิมพ์ เป็นข่าวเหตุการณ์ที่คุณชายแจ้ตาย ระรินเดินจากไปอย่างสะใจ วนิษาตลึง แต่จะหนีหรือทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งหน้าชา หลับตาลง

วนิษาจะเดินออกมาจากงาน ระรินนั่งมองอยู่ที่ร้านกาแฟ จ้องมองเธอด้วยความสะใจ

“หนีอีกแล้วหรอวนิษา เธอไม่มีทางวิ่งหนีกรรมเธอเองได้หรอก เธอทำอะไรไว้กับใคร เอก็ต้องได้ผลตอบแทนแบบนั้น มันยังไม่จบหรอกจนกว่าเธอจะชดใช้หนี กรรมของเอใช้หมดสิ้นทุกการกระทำทุกคำพูด” ระรินยังเคืองแค้น

ระรินนึกถึงเรื่องราวในอดีต วันที่เธอตามคุณชายแจ้ไปที่สำนักงานตลาด วนิษามาเคาะประตูบอกระรินว่าประตูทับกระโปรงเธออยู่ ระรินมองหน้าวนิษารู้สึกถูกชะตาในแวบแรก ชวนเธอคุยจนรู้ว่าวนิษาจะมาสมัครงานที่บริษัท เมื่อคุณชายแจ้กลับมาที่รถ เธอจึงบอกให้เขารู้เพื่อช่วยให้วนิษาได้งานที่นี่

คุณชายแจ้ย้อนกลับที่บริษัทเพื่อจัดการตามที่ระรินร้องขอ พอคุณชายแจ้ได้เห็นหน้าวนิษา เขาถึงกับอึ้ง รู้สึกต้องมนต์ความสวยเธอทันที หลังจากวันนั้นวนิษาก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทแห่งนั้น คุณชายแจ้ถึงกับเข้าออฟฟิศทุกวัน จนไม่มีเวลาให้กับระริน พอถาม เขาก็อ้างว่างานที่บริษัทยุ่งมาก ระรินถามถึงเรื่องงานแต่งงานระหว่างเธอกับเขา คุณชายแจ้ถึงกับบอกให้เธอแคนเซิ่ลงานไปก่อน เพราะไม่มีเวลาคิดเรื่องแต่งงาน

วันหนึ่งระรินไปเดินเล่นที่ห้าง นักข่าวคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาถามข่าวเรื่องแต่งงานและเอาการ์ดงานแต่งของคุณชายแจ้กับวนิษามาให้เธอดู ระรินหน้าซีด ดูรูปเป็นรูปวนิษากับคุณชายแจ้

“ผู้หญิงคนนี้…วินิษา”

ระรินทรุดฮวบลงกับพื้น ปิดหน้าร้องไห้โฮ “คุณชายแจ้ .. วนิษา ทำไมทำแบบนี้  วนิษาฉันเป็นคนช่วยเธอไว้นะ..เธอ”

ระรินฉีกการ์ดเป็นชิ้นๆ นักข่าวตกใจและถายรูปเก็บไว้ แต่ระรินไม่สนใจร้องไห้เหมือนคนเสียสติ…และนี่คือความแค้นที่ระรินจะให้อภัย วนิษาไม่ได้เลย

Loading...