เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15

468
รักออกฤทธิ์

บทประพันธ์ : นิตินันท์, วรรณพร, นิพล
บทโทรทัศน์ : สมภพผูกพันน้อย
กำกับการแสดง : คิง-สมจริง ศรีสุภาพ
แนวละคร :
ผลิต : บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด

เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15

ในห้องจัดเลี้ยง…ได้เวลาที่ระรินจะเริ่มแผนของตัวเองแล้ว เธอทำทีไปกระซิบกระซาบกับนักข่าวว่าได้กลิ่นตุๆ อะไรไหม เรียกความสนใจแล้วอ่อยว่า

“เขาเม้าท์กันว่า…” พูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วย้ำกับนักข่าวว่า “อย่าบอกนะคะว่ามาจากระริน ไม่งั้นระรินตายแน่ๆ” พวกนักข่าวทั้งสัญญาสาบานกันแข็งขัน ระรินลดเสียงให้ตื่นเต้น “คือเจ้าบ่าว คุณกริชน่ะ เขากลัวดวงกินผัวของวนิษาน่ะค่ะ เขาเลยจ้างพวกสิบแปดมงกุฎมาเป็นเจ้าหน้าที่จากเขต จดทะเบียนปลอมๆขึ้น เพื่อแก้เคล็ดน่ะค่ะ” พูดแล้วยุ “ระรินได้ยินมาอย่างนั้น จริงไม่จริงพวกพี่ก็ไปสืบดูนะคะ”

พวกนักข่าวสุมหัวกันก่อนพากันวิ่งไปยังเป้าหมาย ระรินจับตาดูอยู่ เห็นความกระหายข่าวของนักข่าวก็พูดสะใจ…

“เยส! ยัยวนิษา คราวนี้แกต้องช้ำในตายแน่ๆ ดีไม่ดีถึงขั้นกระอักเลือดกลางงานเลยล่ะ ฮิๆๆ” แล้วตัวเองก็ตามไปดูผลงาน

นักข่าวเจาะข่าวทันที ถามกริชกับวนิษาว่า ได้ข่าวว่ามีการแก้เคล็ดดวงกินผัวของเจ้าสาวด้วยการจ้างพวกสิบแปดมงกุฎปลอมมาเป็นเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสมรส ดิเรกฉุนขาด เอาหลักฐานมาแสดงว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริง เอาบัตรประจำตัวมายืนยันจนพวกนักข่าวพูดไม่ออก

กริชปลอบใจวนิษาว่าอย่าไปใส่ใจเลย วนิษายิ้มหวานพูดกับนักข่าวสบายๆว่า

“ขอบคุณพี่สื่อมวลชนทุกคนนะคะที่ช่วยตรวจสอบข่าวลือให้ ถ้าไม่ได้พวกพี่ๆ ข่าวนี้ก็คงลือกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ ดีแล้วค่ะจะได้จบ”

พวกนักข่าวหน้าแตก กำลังจะถอยทัพก็ถูกกริชเรียกไว้ถามว่า “พวกคุณไปเอาข่าวลือนี้มาจากไหน”

“ขอบคุณพี่สื่อมวลชนทุกคนนะคะ ที่ช่วยตรวจสอบข่าวลือให้ ถ้าไม่ได้พวกพี่ๆ ข่าวนี้ก็คงลือกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีแล้วค่ะ จะได้จบ”
“วุ้ย ไม่ต้องเกรงใจค่ะ เป็นหน้าที่พวกเราอยู่แล้วค่ะ ใช่มั้ยพวกเรา แหะๆ ไปเถอะพวกเรา ไปกินข้าวกันต่อเถอะ กำลังอร่อยเชียว”

พวกสื่อ กำลังจะรีบถอยทัพ แต่กริชรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ”
“ว่าไงคะคุณกริช”
“คุณไปเอาข่าวลือนี้มาจากไหน”
“น้องระรินค่ะ เขาบอกมีข่าวฮอทแห่งปีมาบอกค่ะ”

ทุกคนมองไปที่ระริน ที่ไม่ทันตั้งตัว ได้แต่ยืนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก
“คือ”. ระรินอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ พลางมองหน้าวนิษา ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ระรินก็ได้ยินมาจากคนอื่นอีกที แต่ก่อนที่จะถามว่าระรินได้ยินมาจากไหน ระรินว่าเช็คดูอีกทีดีกว่า
ว่าเจ้าหน้าที่คนนี้น่ะตัวจริงหรือตัวปลอม ได้ข่าวว่าเป็นสิบแปดมงกุฎที่ปลอมตัวเก่งมากนะคะ หลักฐานที่เอามาโชว์น่ะ ของจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เจ้าหน้าที่โกรธจนหน้าแดง เดินเข้ามาหาระริน ควักสารพัดบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ระรินจ๋อย
“ถ้าเถียงไม่ออกก็ขอโทษผมซะ ต่อหน้าทุกคนนี่แหละ”
ระริน เบ้หน้า “ทำไมต้องขอโทษด้วย ฉันแค่สงสัย สงสัยไม่ได้หรือไง เป็นเทวดามาจากไหน”
“คุณนั่นแหละนึกว่าตัวเองเป็นนางฟ้ามาจากไหน พูดจาดูถูกคนอื่นแล้วไม่ขอโทษ ถ้าคุณไม่ขอโทษผมล่ะก็”
เจ้าหน้าที่.เอียงหน้าเข้ามาพูดเบาๆ
“ผมจะให้คนจากเขตไปตรวจบ้านคุณ มีการต่อเติมบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาตมั้ย มีแรงงานต่างด้าวไม่ถูกระเบียบรึเปล่า ปั๊มน้ำต่อตรงจากท่อรึเปล่า”
ระรินกลืนน้ำลายเอื๊อก รีบแตะแขนให้หยุดพูด
“พอแล้วค่ะ คุณพี่ขา ระรินขอโทษคุณพี่ด้วยนะคะ ระรินรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ”
ระรินไหว้ขอโทษ เจ้าหน้าที่ สื่อรุมถ่ายรูปกันพึ่บพั่บ
กริชถอนหายใจ “เอาล่ะ ให้เรื่องจบแค่นี้ละกัน ระริน ขอบคุณนะสำหรับความหวังดี เกือบไปแล้ว”
ระรินทำหน้าบอกไม่ถูก เดินหนีไปดื้อๆ เจอเพ็ญแขเดินตามมาพอดี
“มีอะไรเหรอลูก”
“กลับเถอะค่ะคุณแม่”
“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะ”
ระรินไม่ตอบ รีบดึงเพ็ญแขออกไปจากงาน
กริชหันมาเจอโจมองมาทางเขา ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่กริชจะพาวนิษาเดินกลับเข้างาน

“เข้าไปข้างในเถอะครับ”

โจยืนมองวิวอยู่ตรงดาดฟ้าโรงแรม สักครู่ ม.ร. ว. จันทร์ธิดา ก็เดินมาหา

“ว่าไงโจ ได้เบาะแสอะไรแล้วใช่มั้ย”
โจส่ายหน้า “เสียใจครับ ผมไม่มีเบาะแสอะไรให้คุณเลย”
คุณหญิงจุ๋ม หน้าเสีย “หมายความว่ายังไง”
“ถ้าคืนนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี พรุ่งนี้ผมจะคืนงานให้คุณ”
“แปลว่าจะปล่อยให้ยัยนี่ลอยนวลอย่างงั้นเหรอ”
“ผมเสียเวลากับคดีนี้มานานมากแล้ว ถึงตอนนี้ผมไม่พบพิรุธอะไรคุณวนิษาเลย ถึงทำต่อไปก็คงไม่เจออะไร”
คุณหญิงจุ๋ม จ้องหน้าโจเขม็ง “ถ้ารู้ว่าคุณไม่มีฝีมือขนาดนี้ ฉันไม่น่าจ้างคุณเลย”
“ใจจริง ผมก็อยากแนะนำนักสืบที่เก่งกว่าผมให้คุณจ้างต่อนะ แต่เสียดายผมไม่รู้จักใครที่เก่งกว่าผมเลย”

“ฉันหาของฉันได้ย่ะ ฉันไม่มีวันปล่อยให้น้องชายฉันตายฟรีหรอก ฉันต้องเอายัยนั่นเข้าคุกให้ได้”
“คุณไม่คิดว่าน้องชายคุณจะตายเพราะดวงกินผัวมั่งเหรอ”
“คุณจะบอกว่ายัยนั่นไม่ใช่ฆาตกร แต่น้องชายฉันซวยเองใช่มั้ยที่ไปแต่งงานกับผู้หญิงกินผัวน่ะ”
โจไม่ตอบ
“แปลก ทำไม เริ่มมองยัยนั่นเป็นคนดีแล้วเหรอไง.หึ สงสัยจะหลงเสน่ห์มันอีกคน นักสืบคนต่อไปฉันจ้างผู้หญิงดีกว่า”
คุณหญิงจุ๋ม มองหน้าโจ พลางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แล้วเดินจากไป เหลือโจเพียงลำพัง
“คุณวนิ ผมหลงเสน่ห์คุณจริงๆเหรอเนี่ย”

วนิษากับช่างแต่งหน้ากะเทย คนเดียวกับที่ยืนคุยกับพจน์ เข้ามาในห้องที่โรงแรมจัดไว้ให้
“หน้ามันแล้ว เติมแป้งหน่อยนะคะ”
วนิษาเข้ามานั่งไม่พูดอะไร
“ตื่นเต้นเหรอคะ ดูไม่ค่อยยิ้มเลยนะคะ”
วนิษาไม่พูดอะไร มองหน้าตัวเองในกระจก กะเทยเห็นวนิษาไม่พูดอะไรก็ทำงานไปเงียบๆ
วนิษามองตัวเองในกระจก ดวงตาสับสน
โจเดินเข้ามาในงานจัดเลี้ยง พลางกวาดตามอง เห็นคนสำคัญๆยังอยู่ครบ ทั้งคุณยายวรางค์ หนุงหนิง วลัย วิษณุ พ่อแม่กริช หม่อมจันจิรา มรว. จันทร์ธิดา พจน์ ปฐม ปลายฝน ป๋อง
พิธีกรหญิงเดินขึ้นมาบนเวที
“สวัสดีค่ะท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาสำคัญมากๆแล้วนะคะ ที่พวกเราทุกคนจะได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานในความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งนะคะ พวกเราทุกคนพร้อมรึยังคะ เอาล่ะค่ะ ขอต้อนรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลยค่ะ”
ไฟในห้องหรี่ลงจนเกือบมืด เสียงเพลงบรรเลงขึ้น เด็กผู้หญิง 4 คนแต่งตัวน่ารัก เดินโปรยกลีบกุหลาบ
นำหน้าเข้ามาในงาน แล้วก็ตามมาด้วยกริชกับวนิษาในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว แขกเหรื่อปรบมือกันเกรียว พลางมุงกันเข้ามาเพื่อดูเจ้าบ่าวเจ้าสาว ด้วบความชื่นชมในความสวยหล่อของทั้งคู่
โจอยู่ไกลๆ มองดูวนิษากับกริชกำลังเดินเข้ามา ป๋องเข้ามายืนใกล้ๆ
“เป็นไงบ้างครับพี่”
“สวย คืนนี้สวยที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา”
ป๋องงง “เอ่อ ผมหมายถึงที่พี่คุยกับหญิงจุ๋มน่ะครับ เป็นไงบ้าง”
โจตื่นจากภวังค์ หันมามองป๋อง
“อ๋อ คุณหญิงจุ๋มเหรอ ก็ไม่มีอะไร”
“สรุปแล้วงานนี้ไม่มีอะไรใช่มั้ยพี่”
โจขมวดคิ้ว “อย่าเพิ่งวางใจไป แกจับตาดูในงานดีๆนะ ฉันจะออกไปดูข้างนอก”
“มีอะไรเหรอพี่”
“บอกไม่ถูก มันมีอะไรแหม่งๆซักอย่างรบกวนจิตใจฉันอยู่ แต่นึกไม่ออก”
เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินขึ้นไปบนเวที
“ต่อไปขอเชิญประธานในงานคืนนี้ขึ้นมากล่าวโอวาทแก่คู่บ่าวสาวนะคะ”
โจเดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยง พลางมองไปรอบๆ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“มันมีอะไรที่มันผิดปกติ อะไรน้า”

โจนิ่งคิด พยายามใช้สมาธิ
“เอาล่ะค่ะ หลังจากที่พวกเราดื่มอวยพรคู่บ่าวสาวแล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนสำคัญที่พวกเราพลาดไม่ได้เด็ดขาด นั่นคือเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาว ใช่ไหมคะ” แขกในงานเฮรับ พิธีกรนำแขกในงานตะโกน

“หอมแก้ม หอมแก้ม หอมแก้ม”
วนิษายิ้มเขินๆ กริชยิ้มกว้างมีความสุข
“คุณวนิษา ขออนุญาตนะครับ”
วนิษาพยักหน้าอายๆ แขกในงานเฮลั่น

ป๋องเห็นโจดินกลับเข้ามาในงาน ก็รีบหันมาถาม
“เจออะไรมั้ยพี่”
“ไม่ นึกอะไรไม่ออกเลยว่ะ”
โจมองไปบนเวที กริชหอมแก้มวนิษาฟอดอย่างชื่นใจ แขกในงานปรบมือเฮ
“สองข้างเลยสิคะคุณกริช”
“ได้เลยครับ”
กริชเอียงหน้าไปหอมแก้มอีกข้างฟอดใหญ่ พจน์ตะโกนอย่างสนุกสนาน
“จูบแก้มๆ”
ทุกคนในงานตะโกนเชียร์ตาม กริชได้ยินเสียงเชียร์ก็พร้อมจะทำตาม กริชจูบแก้มวนิษาทั้งสองข้างท่ามกลางเสียงเชียร์ โจที่มองอยู่ แอบทำหน้าเศร้า
วนิษากระซิบเบาๆ
“พอเถอะค่ะ”
กริชเลียริมฝีปาก แล้วหันมาชูมือแบบแชมป์เปี้ยน
“โอ้โห เร่าร้อนน่าดู อย่างนี้สงสัยจะหัวปีท้ายปีแน่ๆเลยค่ะ”
แขกในงานเฮลั่น
โจมองทุกอย่างรอบตัว ก็ยังไม่เจอสิ่งผิดปกติ พลางหันไปดูวนิษา ที่หอมแก้มกริชตามแรงเชียร์

“คุณวนิ คืนนี้คุณสวยมาก พรุ่งนี้ผมจะบอกความจริงคุณ แล้วเราคงจะไม่ได้เจอกันอีก ขอให้มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขอย่างที่คุณต้องการ”

โจหันหลังให้ กำลังเดินออกไป พลันก็มีเสียงคนล้มตึง ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด โจหันขวับ
ภาพที่เห็นคือบนเวที กริชล้มลง หน้าแดงก่ำ คอบวม หายใจไม่ออก วนิษาตกใจสุดขีด รีบคุกเข่าลงประคองกริช แล้วคนที่เกี่ยวข้องรีบวิ่งขึ้นไปดูกริชบนเวที
เสียงพิธีกรพูดผ่านไมโครโฟน

“เรียกรถพยาบาลค่ะ เรียกรถพยาบาล”
โจยืนอึ้ง “เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”
วนิษามาหยิบไมค์มาจากพิธีกร
“เจ้าหน้าที่โรงแรม ตามหน่วยปฐมพยาบาลมาเดี๋ยวนี้ ขอเครื่องช่วยหายใจด้วย”
วนิษามองไปทั่วงาน พลางพูดออกไมค์
“นายดาว อยู่ไหน นายดาว”
โจตะโกนลั่น
“ผมอยู่นี่”
“พาคุณกริชไปโรงพยาบาล เร็ว”

กริช ผื่นขึ้นแดงไปทั้งตัว นอนไม่ได้สติ หนุนตักเจ้าหน้าที่โรงแรมที่กำลังใช้เครื่องช่วยหายใจช่วยอยู่
“คุณกริช อย่าเป็นอะไรนะคะ อย่าเป็นอะไร”
วนิษาร้องไห้หลับตา โจหน้าเครียด บีบแตรขอทาง กริชหรี่ตาขึ้นนิดนึง พยายามลืมตา แต่ไม่สำเร็จ ตาหลับลงไปอีก มือกริชที่ตอนแรกอยู่บนเบาะ ห้อยตกลงมาข้างตัว วนิษาจับมือกริชขึ้นมากุมไว้
“คุณกริช คุณต้องอยู่กับฉันนะ”

เจ้าหน้าที่ รีบเข็นเตียงผู้ป่วยที่มีกริชนอนอยู่ เข้าห้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน วนิษาวิ่งตามจับมือกริชไม่ยอมปล่อย จนจะเข้าห้องฉุกเฉิน โจต้องมาจับมือวนิษาให้ปล่อยมือกริช
หมอเดินตามมาอย่างเร่งรีบ กำลังจะเข้าห้อง วนิษาร้องไห้ไปขอร้องหมอ หมอไม่พูดอะไร พลางรีบเข้าไปในห้อง
โจพาวนิษาห่างออกมา วนิษายังร้องไห้อย่างหนัก

วนิษามาที่หอพระในโรงพยาบาล พลางจุดธูปไหว้พระ ตั้งสมาธิมั่น ขอพรให้กริช
“ ฉันขออธิษฐานให้คุณกริชปลอดภัยด้วยเถอะ หากบาปหรือเวรกรรมใดที่ดลบันดาลให้คุณกริช
เป็นแบบนี้ ฉันขอให้บาปหรือเวรกรรมนั้นตกลงที่ฉันแทน ฉันขอแลกชีวิตคุณกริชด้วยชีวิตของฉัน”
วนิษาก้มกราบ แล้วปักธูปด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

ที่หน้าห้องฉุกเฉิน นอกจากวนิษากับโจแล้ว ยังมีพ่อแม่และญาติๆ ของกริชมารอด้วย พวกญาติๆกับแม่กริชมองมาที่วนิษาด้วยสายตาไม่ไว้ใจและเหินห่าง แต่วนิษาไม่สนใจ ยังคงประสานมือแน่น สวดอธิษฐาน ตาก็มองไปที่ประตูห้องตลอดเวลา
หมอเดินออกมา วนิษากับญาติๆ รีบเข้าไปหา หมอแจ้งข่าวร้ายแล้วเดินออกไป วนิษาทรุดฮวบในขณะที่พ่อแม่กริชยืนตะลึง

วนิษาวิ่งเข้าไปในห้อง เปิดผ้าคลุมหน้าศพกริชที่อยู่บนเตียง จับมือกริช แล้วร้องไห้โฮ
หลังจากรดน้ำศพเสร็จ วนิษาก็เดินออกมาหน้าศาลา ดวงตาเหม่อลอย พลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ในแถว พอวนิษาเดินไปนั่ง พวกญาติๆ ของกริช ที่นั่งอยู่ก่อน ก็พากันลุกไปนั่งที่อื่น ในขณะที่ญาติคนหนึ่ง เดินมา พลางแกล้งเอา นสพ.มาวางใกล้ๆ

วนิษาจงใจให้เห็น แล้วเดินหนีไปอย่างรังเกียจ
วนิษาปรายตาเห็นพาดหัวข่าวบน นสพ.
“ลือสนั่นดวงกินผัว สามรายตายคาชุดเจ้าบ่าว”
พร้อมประกอบ ตอนกริชหอมแก้มวนิษาบนเวที วนิษารีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น โจมองมาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ

พวกสื่อมวลชนที่มาทำข่าวถูกกันอยู่ภายนอกศาลา มีแผลเหล็กกั้น มีป้ายจากทางวัดแปะไว้ชัดเจนว่า “ พื้นที่สื่อมวลชน – ทางวัดขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ“
นักข่าวคนหนึ่งหันไปสั่งความกับช่างภาพ
“ซูมเข้าไปเลยพี่ ซูมเยอะๆ ให้เห็นลูกตาวนิษาเลยนะ นัยน์ตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ พี่ซูมให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจของวนิษาเลยนะ ว่าคิดกำลังคิดอะไรอยู่”

ระหว่างที่พวกสื่อกำลังทำงานกันอยู่นั่นเอง ระรินก็เดินเข้ามาในงานมาพร้อมกับเพ็ญแข สื่อมวลชนหันไปถ่ายรูประรินกันพึ่บพั่บ ระรินเอียงหน้าไปกระซิบกับเพ็ญแข
“ยัยโป๊งตัวแสบนั่นมาด้วย ครั้งที่แล้วมันทรยศหนู บอกคุณกริชว่าหนูเป็นคนปล่อยข่าว อยากจะตบมันจริงๆ”
“เอาเหอะ พักไว้ก่อน วันนี้เราไม่ได้จะมาทะเลาะกับสื่อนะ”
ระรินเดินตรงมาที่ศาลา แกล้งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
“น้องระริน เป็นไงบ้างคะ ทำใจได้รึยังคะ”
ระรินมองนักข่าวแว่บหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นสะอื้น
“ทำใจไม่ได้ค่ะ และไม่มีวันทำได้ด้วย คุณกริชเป็นคนดี ไม่น่าเลย ไม่น่าต้องมาตายแบบนี้เลย ระรินเตือนเขาแล้วแท้ๆ”
“น้องระรินเตือนเขาเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่องที่เรารู้ๆกันอยู่น่ะค่ะ แต่เขาไม่ฟังระรินเลย” ระรินพูดไปสะอื้นไป
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่องดวงกินผัวไงคะ”
“คุณกริชไม่เชื่อเรื่องนี้ใช่ไหมคะถึงได้แต่ง”
ระรินแกล้งบีบน้ำตาหนักขึ้น
“เขาก็ดูเหมือนจะเชื่อนะคะ แต่คงมีใครบางคนยุเขาให้ไม่สนใจฟังเรื่องพวกนี้ ใครบางคนที่รับความจริงข้อนี้ไม่ได้”
นักข่าวเงียบ พลางมองไปด้านหลังของระริน ระรินรู้ตัว มองกลับไป เห็นวนิษา กำลังยืนมองมา
“คุณระริน เชิญค่ะ”
“ขอบคุณค่ะคุณวนิษา แต่ระรินยังพูดกับพี่ๆ สื่อไม่เสร็จ”
วนิษายืนจ้องมาที่เธอ ระรินจ้องตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เรากำลังคุยถึงใครบางคนที่เขาหลงมากจนยอมเชื่อทุกอย่าง ใครบางคนที่ฆ่าเขาทางอ้อมด้วยดวงอัปปรีย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดน่ะค่ะ”
นักข่าวหันขวับไปที่วนิษาที่ยืนตัวสั่นระริก
“ถ้าคุณมาเคารพศพคุณกริช ฉันยินดีต้อนรับค่ะ แต่ถ้าคุณจะมาเพื่อด่าฉัน เชิญที่อื่น ที่นี่งานศพ หัดมีมารยาทซะบ้าง”
“ใครด่าคุณ ฉันกำลังพูดถึงฆาตกรต่อเนื่อง มันฆ่ามาแล้วสามศพ ที่น่ากลัวคือไอ้ฆาตกรรายนี้
มันไม่รู้สึกผิดซักนิด ยังกล้ายืนเชิดหน้าต่อหน้าคนอื่นๆอีกต่างหาก โหดเหี้ยมแล้วก็เลือดเย็นที่สุด”
วนิษากำหมัดแน่น
“ถ้าหมายถึงฉันก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องมาทำเป็นกะแนะกะแหน น่ารำคาญ คุณทำตัวเหมือนเด็กขี้อิจฉาแล้วก็ขี้ขลาด อยากด่าฉันแต่ไม่กล้า กลัวฉันมากเหรอไงคะ”
นักข่าวหันกลับมาที่ระรินที่โกรธจนตัวสั่น
“ใช่ ฉันด่าแกน่ะแหละ ยัยผู้หญิงกินผัว แกเข้ามาในชีวิตเขาทำไม เขากำลังคบกับฉันอยู่ดีๆ แกก็เข้ามาเหมือนตอนคุณชายแจ้ แล้วแกก็ทำลายความสุขของทุกคน คนอย่างแกอย่ายุ่งกับผู้ชายที่ไหนอีกเลย แกมันถูกสาปไม่รู้ตัวหรือไง”
วนิษาพูดไม่ออก พ่อแม่กริชเดินออกมา ระรินยกมือไหว้ พ่อกริชท่าทางไม่พอใจแต่ไม่แสดงออก พูดเป็นกลาง
“นี่เป็นงานศพนะหนู ขอให้ทุกคนมีสติกันหน่อย”
วนิษากับระรินหน้าจ๋อย ในขณะที่แม่กริชปรายตามองวนิษา
“คุณระรินเชิญจ้ะ ใครไม่ต้อนรับหนูก็เรื่องของเขา แต่ฉันเป็นแม่ของกริช ฉันยินดีต้อนรับ ส่วนคนที่แม่ไม่ต้อนรับจริงๆน่ะ มันยังไม่รู้ตัว ยังมามีหน้ามาไล่คนอื่นอีก”
แม่กริชปรายตามองเหยียดวนิษา ก่อนที่จะพาระรินกับเพ็ญแขเข้าไปในศาลา เพ็ญแขจงใจรั้งท้าย พอเดินผ่านวนิษา ก็พูดเบาๆโดยไม่มองหน้า
“สมน้ำหน้า ยัยกาลกิณี”

วนิษาพยายามสะกดอารมณ์ พลางหันไปเห็นโจยืนหลบมุมอยู่มุมหนึ่ง ก็รีบพยักหน้า เป็นเชิงบอกว่าเธอจะกลับแล้ว โจพยักหน้ารับทราบ

“ไปไหนครับ” โจหันมาถามเมื่อวนิษาเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว วนิษาร้องไห้โฮ

“ไม่ต้องถาม ไปที่ไหนก็ได้”

โจพาวนิษามายืนบนดาดฟ้าตึกสูงแห่งหนึ่ง วนิษาดูดาวบนฟ้า แววตาเศร้า
“ดวงกินผัว ดาวดวงไหนนะที่ทำให้ชีวิตฉันต้องเป็นแบบนี้”
โจยืนมองห่างๆ สีหน้ามีแววเคลือบแคลงใจ

“คุณวนิ ผมอยากรู้จริงๆว่าคุณใช้วิธีไหนฆ่าคุณกริช คุณลงมือตอนไหนกันแน่ ฉันอยากถามเขาอย่างนี้จริงๆนะ”
โจกลับมาถึงบ้าน ก็นั่งคุยกับป๋อง ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“แล้วได้ถามมั้ยครับ”
โจส่ายหน้า “ไม่อ่ะ”
“แล้วทำไมพี่ไม่ถามเขาตรงๆล่ะ”
“ไม่กล้าว่ะ ถ้าเขาไม่ได้ฆ่า คำถามของฉันก็เหมือนมีดไปกรีดที่แผลเดิมของเขาให้มันเหวอะมากขึ้นไปอีก ฉันทำไม่ลง”
“ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนฆ่า แล้วใครฆ่า
โจถอนใจ “หมอลงความเห็นว่าคุณกริชตายเพราะอาการแพ้อย่างรุนแรง แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเห็น

เขากินอะไรเลย แล้วอยู่ดีๆเขาจะตายได้ไง บางที โลกนี้อาจจะมีดวงกินผัวจริงๆก็ได้”
“เฮ้ย เมื่อก่อนหัวเด็ดขาขาด พี่ก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้นี่ครับ”

“การตายของนายกริชทำให้ฉันหมดความมั่นใจไปเลย ฉันระวังทุกจุด คุมทุกอย่าง มั่นใจสุดๆ ว่า
วนิษาไม่มีทางวางแผน หรือลงมืออะไรทั้งนั้น แต่นายกริชก็ตายจนได้ ตายต่อหน้าต่อตาฉันเลย ถ้าวนิษาไม่ใช่ฆาตกร คำตอบที่เหลือก็คงเป็นดวง ดวงกินผัวของเค้านั่นแหละ”

“ถ้าดวงกินผัวมีจริง”
ป๋องยังพูดไม่ทันจบ โจก็รีบพูดต่อทันที
“โจตัวซวยก็มีจริง ถ้าโลกใบนี้มันมีกฎแบบนี้อยู่ ฉันคัดค้านหัวชนฝาไปก็ไม่มีประโยชน์ มีดวงกินผัว มีโจตัวซวย มีเม้งจิตทิพย์ มีโหราศาสตร์ มีฤกษ์งามยามดี มีเคราะห์หามยามร้าย มีโชคชะตาที่กำหนดชีวิตคนเรา”
โจพูดด้วยความท้อใจ

ในขณะเดียวกัน อ. เม้ง ก็กำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ที่รุมยื่นไมค์จ่อปากหลายสำนัก
“ดวงนารีบริโภคภัสดาครับ ผมไม่เอ่ยชื่อนะครับ แต่ชัดเจนมาก ทั้งฤกษ์เกิด และโหงวเฮ้ง แรงครับ ชัดที่สุด แรงที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาเลย”
“ได้ข่าวว่าอาจารย์เตือนเขาแล้วใช่ไหมคะ”
“อย่าเรียกว่าเตือนเลยครับ เรียกว่าห้ามเลยดีกว่า ผมห้ามเขาแล้ว ย้ำนักย้ำหนาว่างานนี้ถึงตาย แต่เขาก็เลือกที่จะเดินเส้นทางสายนั้น”
นักข่าวยิงคำถามต่อ “ทำไมเขาถึงไม่เชื่ออาจารย์ล่ะคะ”
“ไม่ทราบครับ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่จากไป ผมขอไม่ตอบครับ”
“มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่อาจจะเจอเรื่องแบบนี้ว่ายังไงบ้างไหมคะ”
“ถ้าคุณมีดวงแบบนี้ อยู่คนเดียวดีกว่าครับ ต่อให้คุณพลิกตัวเองไปเป็นรักเพศเดียวกัน คนที่เป็นคู่ของคุณก็หนีความหายนะนี้ไม่พ้น”
“รู้สึกยังไงบ้างคะที่เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงอาจารย์โด่งดังมากขึ้น เพราะเป็นคนที่ทักเรื่องนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนมีข่าวซะอีก”
อ. เม้งยืดอก

“ชื่อเสียงเป็นมายา ไม่ได้ทำให้ผมดีใจหรือเสียใจ เอาล่ะครับ ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปอัดเทปรายการทีวีแล้วก็ออกรายการสดแล้วก็ไปดูดวงให้นายแบ๊งค์ แล้วแต่ละรายก็นะ พอเห็นผมดังก็ขึ้นค่าตัวให้อีก เฮ้อ สวัสดีครับ”
ปลายฝน เดินออกมาจากห้อง กำลังจะไปข้างนอก เห็นวนิษาที่นั่งเหม่ออยู่หน้าทีวี

“หนูไปนะคะ”
“อืม”
วนิษาหันไปดูทีวีต่อ ปลายฝนจะเดินออกไป แต่แล้วก็หยุด หันกลับมามองวนิษา ที่ยังคงนั่งท่าเดิม ปลายฝนทนไม่ได้ เดินกลับมา
“นี่ คุณเลิกทำแบบนี้ทีเถอะ ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย”
“แล้วเธอเดือดร้อนอะไรด้วย”
“ก็หนูไม่ชอบเห็นคุณเป็นแบบนี้ เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในนี้ 3-4 วันแล้ว เดี๋ยวก็เป็นโรคซึมเศร้าจนได้หรอก”
วนิษาเงียบ ปลายฝนถอนหายใจ
“ตามใจ”
พลางเดินออกไป แต่สักพักก็เปิดประตูเข้ามาใหม่
“นี่ หนูจะออกไปเดินเล่นชิลๆ ไปด้วยกันเถอะ”
“นึกไงชวนฉัน” วนิษาแปลกใจ
“เอาน่า ไปด้วยกันเถอะ”
“ไปไหน”
ปลายฝน ยิ้ม “ก็แบบไปกินฟาสต์ฟู้ด ไปซื้อของเน่าๆ ถ่ายรูปเล่น อะไรเงี้ย”
วนิษาเริ่มลังเล

ในขณะที่หน้าคอนโดของวนิษา นักข่าวกับตากล้องคู่ใจ กำลังนั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งกันอยู่
“รอมาตั้งหลายวันแล้ววนิษาไม่ยอมลงมาเลย ก็ได้ ลองดูให้มันรู้ไป ว่าใครมันจะอึดกว่ากัน อย่านึกว่าเธอสบายกว่า เอาแต่นั่งๆนอนๆในห้องนานๆน่ะ เป็นไขมันอุดตันเส้นเลือด ได้ง่ายๆนะจะบอกให้ ฉันอยู่ข้างล่างนี่ ร้อนหน่อยก็ถือว่าให้เหงื่อออก ผิวพรรณจะได้สวยเปล่งปลั่ง”
“ นี่ รอเงียบๆได้มั้ยโป๊ง หนวกหูว่ะ” ตากล้องชักรำคาญ
“ก็มันไม่มีอะไรทำนี่ เฮ้ย น้าหมี วนิษาลงมาแล้ว”
ตากล้องรีบกระเด้งตัวขึ้นมาพร้อมอุปกรณ์กล้องคู่ชีพ ปลายฝนกับวนิษาเดินผ่านล้อบบี้ นักข่าวก็รีบปรี่เข้ามาทักทันที
“สวัสดีค่ะคุณวนิษา”
วนิษากำลังจะหลบไปทางอื่น นักข่าวรีบดักหน้า
“หายหน้าไปนานเลยนะคะ ขออัพเดทข่าวคาว เอ๊ย ข่าวคราวหน่อยนะคะ มีข่าวลือว่าคุณวนิษาเก็บตัวเพราะเตรียมตัวบวชตลอดชีวิต ไม่ทราบจริงหรือเปล่าคะ”
“ใครลือคะ”
“คุณระริน อุ๊ยตาย หลุดปาก ไม่ทราบจริงหรือไม่จริงคะ”
“ไม่จริงค่ะ แค่นี้นะคะ ขอตัวก่อน”
นักข่าวไม่ยอมแพ้
“คิดยังไงกับเรื่องที่คุณระรินไปช่วยทางบ้านคุณกริชทำพิธีไล่เสนียดปัดรังควาน คุณระรินเขาเชิญสื่อไปทำข่าวด้วยนะคะ ไม่รู้คุณวนิษาได้ดูรึเปล่า”
วนิษาไม่ตอบคำถาม นักข่าวถามต่อ
“แล้วตอนนี้มีใครเข้ามาใกล้ชิดบ้างหรือเปล่าคะ”
ปลายฝนทนไม่ไหว ผลักไมค์นักข่าวออกไป
“นี่ พี่คะ คนเขาไม่อยากตอบก็ถามอยู่ได้ แล้วถามแต่ละคำ เป็นพี่พี่จะรู้สึกยังไง”
“น้องคะ พี่ไม่ได้ถามน้องนะคะ”
“ฉันก็ไม่ได้ตอบ ฉันกำลังเตือนคุณ”
นักข่าวสะกิดตากล้องให้ถ่ายปลายฝน
“น้องเป็นลูกติดผัวคนที่แล้วของคุณวนิษาใช่ไหมคะ แม่เลี้ยงน้องจะบวช จริงรึเปล่าจ๊ะ”
ปลายฝนชักหงุดหงิด
“หลีกทางด้วยนะคะ”
“ทำไมไม่อยากตอบ มีอะไรปิดบังเหรอ แล้วแม่เลี้ยงน้องมีแฟนใหม่รึยังคะ”
“แล้วแม่คุณล่ะ มีแฟนใหม่รึยังคะ”
“ต๊าย ปากดี ใครสอนมารยาทการเข้าสังคมให้คะเนี่ย หรือว่าไม่มีใครมีเวลาสอนจ๊ะ”
“แก”
ปลายฝนกำหมัด ทำท่าจะบุกเข้าไปหา วนิษารีบดึงกลับเข้ามา
“ต๊าย นักเลง อยากตบเหรอ เอาสิ ลองตบดูสิ”
นักข่าวยื่นหน้าให้ พลางยิ้มยั่ว ปลายฝนจะเข้ามา แต่วนิษารีบดึงไว้
“คุณหาเรื่องฉันไม่เป็นไร มาหาเรื่องปลายฝนทำไม รปภ.คะ”
รปภ.ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ รีบวิ่งเข้ามา
“นี่สถานที่ส่วนบุคคลนะครับ”
วนิษารีบฉวยโอกาสพาปลายฝนออกมาที่รถ
“เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณเอาแต่อยู่ในห้อง จะกลับขึ้นห้องไหมคะ”
ปลายฝนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ล่ะ ไหนๆก็ออกมาแล้ว”
“ไม่กลัวเจอพวกนั้นอีกเหรอคะ”
“ไม่กลัวแล้ว ตอนนี้มีเธอเป็นพันธมิตร ขอบใจนะ”
ปลายฝนหัวเราะเขินๆ
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ ให้เธอเลือกร้านตามใจเลย ฉันเป็นเจ้ามือเอง”
“เปลี่ยนใจแล้วค่ะ ฝนว่าเราไปที่ๆ มันปลดปล่อยกว่านั้นดีกว่า”
วนิษาทำหน้างงๆ

ที่ปลดปล่อย ที่ปลายฝนหมายถึง ก็คือที่สวนสนุกนั่นเอง ทั้งวนิษาและปลายฝน พากันเล่นเครื่องเล่น รวมทั้งเข้าบ้านผีสิง ต่างคนต่างกรีดร้องกันอย่างสุดเสียง ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดเสียว และสนุกสนาน
โจช่วยถือกระเป๋า พลางเดินตามวนิษาเข้ามาในบ้านของคุณยายวรางค์

“คืนนี้หนูขอนอนด้วยคนนะคะ แล้วพรุ่งนี้อยากตามคุณยายไปทำบุญด้วย”
“ตามสบายจ้ะ”
คุณยายวรางค์จองวนิษา พลางหันมามองโจ
“ดาว เธอนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ จากวันที่ฉันเห็นเธออยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ”
“เปลี่ยนไปยังไงเหรอครับ”
คุณยายวรางค์ยังไม่ทันตอบ หนุงหนิงก็ชิงตอบแทน
“ดูหล่อขึ้นนะตะเอง”
หนุงหนิงเอื้อมมือมาจับมือโจที่ถือกระเป๋าวนิษาอยู่ โจถึงกับสะดุ้ง
“แหม ทำตกใจ นึกว่าเค้าแต๊ะอั๋งตะเองหรือไง เค้าจะเอาประเป๋าคุณวนิย่ะ เอามานี่ เค้าจะได้เอาไปเก็บให้”
โจรีบส่งกระเป๋าให้ หนุงหนิงเดินถือกระเป๋าเข้าไป ไม่วายหันมาส่งสายตาให้ โจฝืนยิ้ม
“ชอบมั้ย เดี๋ยวฉันเป็นแม่สื่อให้” คุณยายวรางค์แกล้งแหย่
“เอ่อ โอกาสหน้าแล้วกันครับ”

“ชอบมั้ย เดี๋ยวฉันเป็นแม่สื่อให้” คุณยายวรางค์แกล้งแหย่
“เอ่อ โอกาสหน้าแล้วกันครับ”
“รีบๆนะคะ ช้าหมดอดได้ของดีนะคะจะบอกให้”

หนุงหนิงตะโกนออกมาจากด้านใน โจฝืนยิ้ม
“ดาว ฉันขอแรงหน่อยสิ มาช่วยฉันในสวนหน่อย”
คุณยายวรางค์หันมาบอกกับโจ

“ได้ครับ”
“วนิ มีปั้นขลิบปลาอยู่ในครัว ยายซื้อมาจากบางลำพู ไปกินสิ อร่อยนะ”
“ค่ะ”
คุณยายวรางค์พาโจเดินออกไป วนิษามองตามไป นึกเอะใจนิดหน่อย

Loading...