เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 11

420
รักออกฤทธิ์

บทประพันธ์ : นิตินันท์, วรรณพร, นิพล
บทโทรทัศน์ : สมภพผูกพันน้อย
กำกับการแสดง : คิง-สมจริง ศรีสุภาพ
แนวละคร :
ผลิต : บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด

เรื่องย่อละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 11

เสี่ยเพ้งกลับไปถึงบ่อนตัวเองอย่างหัวเสีย คำรามแค้นว่าจะต้องสั่งสอนตั่วเจ๊และยึดบ่อนมาให้ได้ รู้จักเสี่ยเพ้งน้อยไป! พลันเสี่ยเพ้งก็สะดุ้งเมื่อถูกกระดาษขยำจนกลมปาใส่หน้า เสี่ยคลี่ออกดูเป็นตั๋วคอนเสิร์ต มองไปเห็นตี๋อ้วนยืนหน้าบูดแก้มป่องอยู่ ถามว่าทำไมทำแบบนี้ ตั๋วคอนเสิร์ตใบละตั้งหลายพัน

ตี๋อ้วนบอกว่าไม่ดูมันแล้วเพราะเกิร์ลเฟรนด์ที่จะชวนไปดูด้วยมีบอยเฟรนด์ไปแล้ว ตี๋อ้วนโวยวายว่าให้ป๊าส่งคนไปจัดการกับบอยเฟรนด์ของเกิร์ลเฟรนด์ตนป๊าก็ไม่ไปจัดการสักที เดี๋ยวจะเอาปืนไปยิงเอง เสี่ยเพ้งรีบบอกให้ลูกน้องไปจัดการคนที่มาแกล้งลูกตน ย้ำว่าเอาแค่ให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งแต่อย่าให้ถึงตาย

ตี๋อ้วนพาลูกน้องเสี่ยเพ้งไปดักที่ย่านวัยรุ่น แต่ไม่เห็นปลายฝนกับป๋องมาเลยชวนกันไปดักที่อื่น แต่พอตี๋อ้วนไป ปลายฝนก็ควงป๋องเข้ามา เธอถามป๋องว่านัดตนมาวันนี้มีอะไรหรือ ป๋องชวนไปนั่งคุยกันดีกว่า

ทั้งสองเข้าไปนั่งคุยกันในร้านไอศกรีมบรรยากาศน่ารัก ป๋องเกร็งจนปลายฝนทักว่าวันนี้ดูแปลกๆ พอป๋องเริ่มทำงานตามที่โจสั่ง ปลายฝนก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

โจถามว่าพ่อแม่เธอเป็นใคร ปลายฝนบอกว่าพ่อตนเปิดบ่อนแม่ตายตั้งแต่ตนเด็กๆ ทุกวันนี้ตนอยู่กับแม่เลี้ยง

แล้วแม่เลี้ยงเธอเป็นคนยังไง ปลายฝนบอกว่าเป็นคนฉลาด ดูดี พ่อชอบแม่เลี้ยงมาก ทีแรกพ่อบอกว่าจะไม่แต่งงานใหม่ แต่พอเจอแม่เลี้ยงก็กลับคำทันที

แล้วพ่อเธอตายยังไงล่ะ ป๋องถามต่อ คราวนี้ปลายฝนย้อนถามว่าถามทำไม คาดคั้นจับพิรุธ ป๋องจนแต้ม

บ่นตัวเองงึมงำ “กูว่าแล้วต้องไม่สำเร็จ” พอถูกปลายฝนถามว่าบ่นอะไร ป๋องถามว่าเธอไว้ใจใครที่สุด ปลายฝนบอกว่าไม่มี แม้แต่เพื่อนที่สนิท ญาติสนิทก็ไม่มี มีแต่ลุงปฐมคนสนิทของพ่อแต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกัน

ป๋องให้ปลายฝนสัญญาก่อนว่าถ้าตนบอกเหตุผล เธอจะต้องไม่เล่าให้ใครฟัง โดยเฉพาะแม่เลี้ยงของเธอ ปลายฝนรับปาก ป๋องจึงบอก

“ฉันเป็นนักสืบ!”

โจกลับถึงบ้านเจอปลายฝนนั่งอยู่ข้างๆป๋อง โจตกใจทำอะไรไม่ถูก ปลายฝนเป็นฝ่ายสวัสดี บอกโจว่าตนรู้เรื่องหมดแล้ว โจถามงงๆว่า “รู้เรื่องอะไรหรือครับ”

“รู้เรื่องที่พี่โจเป็นนักสืบ รับงานมาจากหญิงจุ๋ม มาสืบเรื่องการตายของคุณชายแจ้กับพ่อของหนูว่าเป็นฝีมือของแม่เลี้ยงหนูรึเปล่า แล้วพี่ก็แกล้งความจำเสื่อมปลอมเป็นคนรถเพื่อสืบความลับของแม่เลี้ยงหนูไง”

โจก้มหน้า หลับตาปี๋ครางเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นก็คำราม “ไอ้ป๋อง…ฉันจะฆ่าแก!” แล้วโจก็พุ่งเข้าขยุ้มคอป๋องจนปลายฝนต้องช่วยแยกออกมา

สุดท้ายเรื่องลงเอยด้วยดี เมื่อปลายฝนบอกว่าตนก็อยากรู้เรื่องการตายของพ่อเหมือนกัน ทั้งยังบอกว่าตนจับตาสังเกตวนิษามาตลอด แม้แต่เวลาเธออาบน้ำก็แอบดูว่าเธอซ่อนอะไรไว้ในตัวหรือเปล่า แต่ก็จับพิรุธอะไรไม่ได้

“หรือว่าคุณวนิษาจะเป็นคนบริสุทธิ์จริงๆ” ป๋องจะสรุป แต่โจบอกปลายฝนว่าตนจะบอกให้เธอต้องทำอะไร อย่างไรเอง ตกลงไหม ปลายฝนพยักหน้า

ระหว่างป๋องเดินออกมากับปลายฝนนั้น เธอถามว่าเขาสนิทกับโจมากเลยหรือ ป๋องเล่าอย่างไม่ปิดบังว่า

ทั้งตนและโจต่างเป็นลูกกำพร้าที่หลวงพ่อสีสุกรับเลี้ยงไว้ที่วัด ตอนเด็กตนเกเรเอาแต่เล่นเกมไม่เรียนหนังสือ ดีแต่ได้โจมาดึงตนกลับมาเป็นผู้เป็นคน ปลายฝนถามว่าแต่นั้นมาเขาเลยกลายมาเป็นผู้ช่วยของโจใช่ไหม

“ยัง…จริงๆแล้วพี่โจมาเป็นนักสืบเพราะเหตุผลพิเศษต่างหาก ตอนแรกไม่ได้คิดจะเป็นหรอก” ปลายฝนถามว่าเหตุผลอะไร ป๋องมองอย่างระแวดระวังก่อนบอกเบาๆว่า “พี่โจ มีสมญานามว่า โจตัวซวย” ปลายฝนอึ้งถามว่าสมญานามนี้ได้มายังไง

ป๋องนิ่งไปนานเพราะสมญานาม “โจตัวซวย” นั้นมีเรื่องราวมากมายไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี

ป๋องตั้งหลักได้ก็เล่าแต่เรื่องที่ซวยมหาซวยของโจให้ฟังว่า

เมื่อหลายปีก่อน โจอยู่ในทีมฟุตซอลมหาวิทยาลัยเป็นผู้รักษาประตู ขณะคู่แข่งวางลูกเตรียมยิงเป็นลูกชี้ขาดแพ้ชนะนั้น โจเตรียมรับเต็มที่ พอลูกพุ่งเข้ามาโจก็พุ่งรับแต่ไปผิดทาง โชคดีที่ปลายเท้าของโจเซฟลูกไว้ได้ ทุกคนเฮดีใจ โจลุกขึ้นจะวิ่งไปหาเพื่อน เจ้ากรรม! เท้าโจสะดุดลูกบอลหัวทิ่ม ลูกบอลเลยไหลกลับเข้าประตูไป เพื่อนๆ ที่กำลังเฮดีใจ เงียบกริบไปทันที!

นั่นคือซวยครั้งที่หนึ่ง ต่อมาโจทำงานขายประกัน ลูกค้าแข็งแรงมากบอกว่ารับรองตนอยู่จนครบกรมธรรม์ฟันดอกเบี้ยจากบริษัทอื้อแน่ แต่พอเซ็นกรมธรรม์เสร็จขับรถออกไปก็เสยกับรถพ่วงสิบแปดล้ออย่างแรง รถระเบิดตายสยองทันที!

ป๋องเว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วตบท้ายเรื่อง “โจตัวซวย” เมื่อโจมาทำงานนักสืบว่า วันหนึ่งเขาไปจับผู้ร้ายที่สืบได้กับตำรวจคนร้ายถูกจับได้ แต่มันแย่งปืนจากสารวัตรไปได้จ่อปืนใส่สารวัตร โจกระโดดกดหัวสารวัตรโขกกับพื้นอย่างแรง ปรากฏว่าเป็นปืนปลอม แต่พอสารวัตรโงหัวขึ้น หน้าก็เต็มไปด้วยเลือดเพราะฝีมือการช่วยเหลือของโจนั่นเอง

เรื่องราวของ “โจตัวซวย” จบลงพร้อมสีหน้าอึ้งสุดๆของปลายฝน เธอถามว่าแล้วป๋องรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ไง ป๋องเลิกเสื้อให้ดู รอบเอวเขาเต็มไปด้วยสารพัดของขลังห้อยเต็มไปหมด ป๋องอวดว่า ไม่อย่างนั้นตนไม่รอดมาถึงป่านนี้หรอก

“ชีวิตนายดูผ่านอะไรมาเยอะนะ ไม่น่าเป็นคนโง่นี่นา” แล้วปลายฝนก็ยกตัวอย่างที่ป๋องมีพิรุธตอนหลอกถามตน ป๋องยอมรับว่าตนไม่กล้าหลอกเธอ แต่โจเคยด่าตนว่าต้องรู้จักหลอกใช้คน ปลายฝนเลยบอกเขาว่าไม่ต้องเชื่อโจมากหรอก อย่าทำอะไรฝืนใจตัวเอง ถ้าไม่มีอะไรทำตนจะแนะแนวให้เอง

“ขอบใจ แต่เธอเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะยัย

เบื๊อก แค่ขับรถชนเสาไฟฟ้ายังทำอะไรไม่ถูกเลย”

“ไอ้บ้า” ปลายฝนเตะก้นป๋องแล้วหัวเราะกัน ต่างใส่หมวกกันน็อกขึ้นมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันไป

วันนี้หลังจากกริชพาวนิษาไปเลี้ยงอาหารอร่อยในห้างแล้ว เธอสั่งโจให้พาไปที่วังวาสุวงศ์โดยไม่รู้ว่ามีคนมาดักอยู่ พอเธอออกไปมันก็ส่งข่าวต่อๆกันว่า “ออกไปแล้ว เตรียมตัว”

รถของวนิษาถูกรถตู้คันหนึ่งตามประกบ เมื่อถึงเส้นทางที่นัดกันไว้ถูกกลุ่มคนร้ายวางแผนดักทำร้าย แต่ด้วยความช่างสังเกตและตัดสินใจฉับไว โจพาวนิษาหนีรอดคนร้ายไปแอบในบ้านหลังหนึ่งที่เปิดหน้าต่างไว้ แล้วใช้อุปกรณ์ที่หาได้ในบ้านหลังนั้น ปลอมตัวเป็นกะเทยอึ๋มออกมา

พวกกุ๊ยที่มาเล่นงานยังดักรออยู่ จนใกล้ค่ำมันเห็นกะเทยสองคนเดินแอ่นอกอึ๋มออกมาทำระริกระรี้ ก็มองกันเพลินหยอกล้อกันครึกครื้น โจกับวนิษาก็ทำเป็นดี๊ด๊ากรี๊ดกร๊าดทั้งอ่อยทั้งด่าจนผ่านพวกมันไปได้

วนิษาบอกว่าวันนี้สนุกมาก เล่าให้โจฟังขำๆว่า

“ฉันเคยด่าแบบสะใภ้ผู้ดีมันต้องสุภาพ ด่าแบบตั่วเจ๊ก็ต้องมีหลักการ แต่เมื่อกี้ด่าแบบกุ๊ยไม่ต้องคิดมากสนุกกว่ากันเยอะ”

“สงสัยผมจะปลุกด้านมืดของคุณขึ้นมาเสียแล้ว” โจพลอยรู้สึกสนุกไปด้วย

พวกกุ๊ยที่มาดักเล่นงานโจกับวนิษา โทร.แจ้งใครบางคนว่าสงสัยสองคนหนีไปแล้ว ใครคนนั้นบอกว่าไม่ เป็นไร เดี๋ยวจะโอนเงินให้แล้วให้หลบไปอยู่ต่างจังหวัดเสีย

ใครคนนั้นคือปฐมนั่นเอง!

เมื่อวนิษากลับไปเล่าเหตุการณ์ให้ปฐมฟัง เขาตั้งข้อสังเกตว่า โจมีพฤติกรรมน่าสงสัยทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รวดเร็วว่องไวราวกับรู้ล่วงหน้า ทั้งเผชิญหน้ากับกุ๊ยวันนี้ที่มีคนมากกว่ามากมายก็ไม่ได้แสดงความวิตกอะไรเลย พูดจนวนิษาเริ่มคล้อยตาม แต่บอกว่า “เราดูเขาต่อไปก็แล้วกัน”

ส่วนโจก็นัดพบป๋องฟังผลการไปสืบเรื่องการตายของสถาพร พบว่ายาที่พบในสายเลือดนั้นเป็นแค่ยากล่อมประสาทที่อาจทำให้ตายได้เท่านั้น

เสร็จจากป๋อง โจไปหาซูซี่เอาสากทองเหลืองไปถามว่าเอาไว้ทำอะไร ซูซี่บอกว่าเอาไว้ฝึกน้ำหนักเพื่อ กะแรงตำเท่านั้น พอโจถามว่าเขาวางยาสถาพรหรือเปล่าเพราะยาที่พบเป็นยาแบบเดียวกับที่ซูซี่กิน ซูซี่ยอมรับว่าสถาพรบ่นว่าเครียดจนนอนไม่หลับ ตนจึงเอายาให้ไป แต่ตนไม่ได้วางยา สถาพรกินยาเอง

โจไปพบป๋องที่ลานจอดรถร้านอาหารที่กริชกับวนิษาอยู่ข้างใน บอกป๋องว่าวันนี้ตนจะลงมือเองเดี๋ยวตนจะหลอกล่อให้ทั้งสองไปที่อื่น ตนจะเข้าไปค้นคอนโดของวนิษา ให้ป๋องติดตามสองคนนี้ ถ้าวนิษาจะกลับคอนโดเมื่อไรให้รีบโทร.บอกตน

พอดีกริชออกมา เขาขอคุยกับโจ เอาเงินให้โจเต็มซองเพื่อให้โจเปิดโอกาสให้ตน ไม่ว่าจะแกล้งทำรถเสียหรืออะไรก็ได้ โจรับเงินและรับปาก บอกวนิษาว่ารถเสียและขอให้กริชช่วยดูแลและส่งเธอแทนด้วย แล้วสั่งป๋องให้ถ่วงเวลาของวนิษาไว้ให้นานที่สุด

โจรีบไปที่คอนโดค้นห้องวนิษาอย่างเร่งรีบ

ส่วนป๋องที่เฝ้าวนิษากับกริชอยู่หน้าร้านอาหาร ได้รับไลน์จากปลายฝน คุยหยอกล้อกันด้วยภาษาวิบัติอย่างสบายอกสบายใจ พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่ารถของกริชหายไปแล้ว!

กริชพาวนิษาไปนั่งกินกาแฟกันต่อ ระหว่างนั้นก็เอารูปเด็กน่ารักมาให้ดู แสดงอารมณ์รักเด็กอย่างมาก พอวนิษาเผลอก็แอบเทยาเสียสาวใส่ในกาแฟ คะยั้นคะยอให้ดื่มอย่างแนบเนียน แต่โชคไม่เข้าข้างเขา วนิษายังมีอารมณ์ติดพันกับเด็กดื่มไม่ลง ครู่หนึ่งเธอชวนกลับดีกว่า

ด้วยประสบการณ์โชกโชน กริชตามใจเธอ แต่แอบคลำในกระเป๋าบอกตัวเองว่า

“ผมยังมีอีกเป็นแผง ให้มันรู้ไปว่าคืนนี้คุณจะรอดไปได้”

โจยังตั้งหน้าตั้งตาค้นหาหลักฐานต่อไป เวลาเดียวกัน กริชก็กำลังขับรถบ่ายหน้ามาส่งวนิษาที่คอนโด! เขาพยายามชวนเธอไปดื่มอะไรชิลๆต่อ วนิษาขอเป็นโอกาสหน้าก็แล้วกัน วันนี้ตนมีงานต้องทำต่อที่บ้าน

“ครับ…งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณวนิษาที่คอนโดเลยนะครับ”

Loading...